ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของคณะบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล ในตอนนี้จะมาดูว่าแล้วเราจะลงบัญชีรายรับ-จ่ายกันอย่างไร
บัญชีรายรับ-จ่ายเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในการยื่นภาษีของคณะบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล จะยื่นแนบเพียงครั้งเดียวต่อปีไปกับภงด. 90 (ไม่ต้องยื่นแนบกับ ภงด. 94 ในกลางปี) บัญชีรายรับ-จ่ายจะแสดงถึงกระแสเงิน (Cash Flow) ที่ใช้ในกิจการ เป็นการบันทึกบัญชีแบบง่ายเพื่อใช้ภายในกิจการ ไม่เน้นการเก็บบิลหรือใบเสร็จ เสมือนการลงรายรับรายจ่ายของครัวเรือน
การอธิบายวิธีการลงบัญชีรายรับ-จ่ายนั้น จะขอยกจากตัวอย่างนะคะ ขอย้อนกลับไปในตอนแรกที่ได้ยกตัวอย่างห้างหุ้นส่วนสามัญเอบีการแพทย์นะคะ สมมติว่าห้างหุ้นส่วนมีการเสียภาษีดังนี้
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล เอบีการแพทย์
รายได้ จากกิจการรักษาผู้ป่วยในคลีนิก 1,000,000
หักค่าใช้จ่าย โดยเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา (ร้อยละ 60%) 600,000
คงเหลือ เงินได้หลังการหักค่าใช้จ่าย 400,000
หักค่าลดหย่อน ค่าลดหย่อนของห้างหุ้นส่วนสามัญ 60,000
คงเหลือ เงินได้สุทธิ 340,000
ภาษีที่ต้องจ่าย อัตราภาษีแบบก้าวหน้า (ตกในฐาน 10%) 11,500
มี 3 กรณีที่เกี่ยวข้องกับการลงบัญชีรายรับ-จ่าย ที่จะยื่นต่อสรรพากร
กรณีที่ 1 ไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่ายแต่ต้องการจะแบ่งส่วนกำไรให้หมด ไม่ต้องเหลือไปถึงปีหน้า ควรจะลงบัญชีอย่างไร
กรณีที่ 2 ถ้ามีภาษีหัก ณ ที่จ่าย เกินกว่าภาษีที่ต้องจ่าย (ได้เงินภาษีคืน) ควรจะอย่างบัญชีอย่างไร
กรณีที่ 3 ถ้ามีภาษีหัก ณ ที่จ่าย น้อยกว่าภาษีที่ต้องจ่าย (ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม) ควรจะลงบัญชีอย่างไร
บัญชีรายรับ-จ่ายที่จะยื่นแนบไปกับภงด. 90 นั้น เพื่อป้องกันความสับสน ควรเข้าใจไว้ก่อนว่าบัญชีนี้คือ รายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงๆ เป็น Cash Flow ของคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญนั้นๆ และการทำบัญชีรายรับ-จ่ายเพื่อยื่นสรรพากรนี้ก็เป็นบัญชีแค่ช่วงเวลาตั้งแต่ 1 มค. ถึง 31 ธค. ของปีที่เราจะต้องยื่นภาษี ดังนั้นบางรายจ่ายที่อาจไม่ได้จ่ายในช่วงระยะเวลาของปีนี้ ก็ต้องไปลงบัญชีของปีหน้า ลองดูกรณีที่ 1 นะคะ
กรณีที่ 1 ถ้าตามตัวอย่างของห้างหุ้นส่วนเอบีการแพทย์ ถ้าหุ้นส่วนต้องการแบ่งส่วนแบ่งกำไรทั้งหมด ไม่ต้องการที่จะมีเงินเหลือเลย จะต้องลงบัญชีตามนี้
กรณีที่ 1 สรุปบัญชีรายรับ-จ่ายตามจริงของห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล เอบีการแพทย์ ปี 2557
ยอดเงินคงเหลือยกมาจากปีก่อน 0 (1)
ยอดรวมรายรับระหว่างปีภาษี กิจการรักษาผู้ป่วยในคลีนิค 1,000,000 (2)
ยอดรวมรายจ่ายระหว่างปีภาษี รวมค่าใช้จ่ายที่แท้จริง 470,000 (3)
เงินคงเหลือเป็นกำไรในห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลเท่ากับ (1)+(2)-(3) = 530,000
มีการแบ่งกำไรออกมาให้หุ้นส่วนเป็นจำนวน 518,500
ยอดเงินคงเหลือยกไปในปีถัดไป 11,500
จะเห็นได้ว่า ห้างหุ้นส่วนสามารถแบ่งกำไรออกมาได้แค่ 518,000 เท่านั้น เพราะเงินจำนวน 11,500 ต้องเอาไปจ่ายภาษีในอีกปีหน้า (ถ้ายอดเงินเหลือ เหลือเท่ากับ 0 แล้วในเดือนมีค. ปีถัดไป จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าภาษีละ ดังนั้นจึงต้องลงเป็น 11,500 เพื่อให้มีเงินเหลือไปภาษีในเดือนมีค. ในปีถัดไป) ทำให้เห็นว่าบัญชีนั้นลงเป็นรอบปี รายจ่ายไหนที่ยังไม่ได้จ่ายจริงก็ต้องตั้งค้างเอาไว้ แล้วคราวนี้ถ้าสมมติในปีต่อไป ห้างหุ้นส่วนสามัญนี้ไม่ได้มีรายรับรายจ่ายเกิดขึ้นเลย จะลงบัญชีตามนี้
กรณีที่ 1 สรุปบัญชีรายรับ-จ่ายตามจริงของห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล เอบีการแพทย์ ปี 2558
ยอดเงินคงเหลือยกมาจากปีก่อน 11,500 (1)
ยอดรวมรายรับระหว่างปีภาษี กิจการรักษาผู้ป่วยในคลีนิค 0 (2)
ยอดรวมรายจ่ายระหว่างปีภาษี รวมค่าใช้จ่ายที่แท้จริง 11,500 (3)
เงินคงเหลือเป็นกำไรในห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลเท่ากับ (1)+(2)-(3) = 0
มีการแบ่งกำไรออกมาให้หุ้นส่วนเป็นจำนวน 0
ยอดเงินคงเหลือยกไปในปีถัดไป 0
จะเห็นได้ว่า ยอดเงินคงเหลือ 11,500 ถูกยกมาจากปีก่อน แล้วหักด้วยรายจ่ายในที่นี้คือภาษีเป็นจำนวน 11,500 บาท ทำให้ทุกอย่างเหลือเท่ากับ 0 เมื่อยอดเหลือเท่ากับ 0 แล้ว ถ้าทางห้างหุ้นส่วนสามัญจะยื่นปิดห้างหุ้นส่วนหลังจากยื่นภาษีนี้เสร็จก็สามารถทำได้เลย เพราะไม่มียอดอะไรค้างแล้ว
กรณีที่ 2 ถ้ามีภาษีหัก ณ ที่จ่าย เท่ากับ 40,000 บาท ซึ่งเกินกว่าภาษี 11,500 ที่ต้องจ่าย (ได้เงินภาษีคืน) แล้วทางห้างหุ้นส่วนอยากแบ่งกำไรให้หมดจะต้องลงบัญชีตามนี้
กรณีที่ 2 สรุปบัญชีรายรับ-จ่ายตามจริงของห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล เอบีการแพทย์ ปี 2557
ยอดเงินคงเหลือยกมาจากปีก่อน 0 (1)
ยอดรวมรายรับระหว่างปีภาษี กิจการรักษาผู้ป่วยในคลีนิค 1,000,000 (2)
ยอดรวมรายจ่ายระหว่างปีภาษี รวมค่าใช้จ่ายที่แท้จริง 470,000 (3)
เงินคงเหลือเป็นกำไรในห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลเท่ากับ (1)+(2)-(3) = 530,000
มีการแบ่งกำไรออกมาให้หุ้นส่วนเป็นจำนวน 490,000
ยอดเงินคงเหลือยกไปในปีถัดไป 40,000
จะเห็นได้ว่า ยอดเงินคงเหลือในปีถัดไปจะเท่ากับ 40,000 เพราะยอดนี้คือภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่เราต้องได้รับคืนมาจากสรรพากร แต่เรายังไม่ได้รับในปี 2557 นี้ต้องรอในปีหน้า (ถ้าเราตั้งยอดเงินคงเหลือเท่ากับ 0 ก็จะเกิดการสับสน เพราะเดือนมีค. เราจะได้เงินคืนเท่ากับ 40,000 - 11,500 = 28,500 บาท แล้ว 28,500 นี้ต้องเหลืออยู่ในบัญชีเราต่อไป) ยอด 40,000 จึงเป็นยอดรายได้ค้างรับและยอดรายจ่ายค้างจ่ายที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 แล้วคราวนี้ถ้าสมมติในปีต่อไป ห้างหุ้นส่วนสามัญนี้ไม่ได้มีรายรับรายจ่ายเกิดขึ้นเลย จะลงบัญชีตามนี้
กรณีที่ 2 สรุปบัญชีรายรับ-จ่ายตามจริงของห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล เอบีการแพทย์ ปี 2558
ยอดเงินคงเหลือยกมาจากปีก่อน 40,000 (1)
ยอดรวมรายรับระหว่างปีภาษี กิจการรักษาผู้ป่วยในคลีนิค 0 (2)
ยอดรวมรายจ่ายระหว่างปีภาษี รวมค่าใช้จ่ายที่แท้จริง 11,500 (3)
เงินคงเหลือเป็นกำไรในห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลเท่ากับ (1)+(2)-(3) = 28,500
มีการแบ่งกำไรออกมาให้หุ้นส่วนเป็นจำนวน 28,500
ยอดเงินคงเหลือยกไปในปีถัดไป 0
จะเห็นได้ว่า
ยอดเงินคงเหลือ 40,000 ถูกยกมาจากปีก่อน
แล้วหักด้วยรายจ่ายในที่นี้คือภาษีเป็นจำนวน 11,500 บาท
ทำให้ทุกอย่างเหลือเท่ากับ 28,500 ยอด 28,500 เป็นส่วนแบ่งกำไรนี้จะถูกแบ่งให้กับนายแพทย์เอ และนายบี คนละเท่าๆ กัน คือ 14,250 และหุ้นส่วนทั้งสองคนก็ต้องนำไปรวมเป็นรายได้ส่วนตัวของปี 2558 ถ้าทางห้างหุ้นส่วนสามัญจะยื่นปิดห้างหุ้นส่วนหลังจากยื่นภาษีนี้เสร็จก็สามารถทำได้เลย
เพราะไม่มียอดอะไรค้างแล้ว
กรณีที่ 3 ถ้า
มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย เท่ากับ 5,000 บาท ซึ่งน้อยกว่าภาษี 11,500
ที่ต้องจ่าย (ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม)
แล้วทางห้างหุ้นส่วนอยากแบ่งกำไรให้หมดจะต้องลงบัญชีตามนี้
กรณีที่ 3 สรุปบัญชีรายรับ-จ่ายตามจริงของห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล เอบีการแพทย์ ปี 2557
ยอดเงินคงเหลือยกมาจากปีก่อน 0 (1)
ยอดรวมรายรับระหว่างปีภาษี กิจการรักษาผู้ป่วยในคลีนิค 1,000,000 (2)
ยอดรวมรายจ่ายระหว่างปีภาษี รวมค่าใช้จ่ายที่แท้จริง 470,000 (3)
เงินคงเหลือเป็นกำไรในห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลเท่ากับ (1)+(2)-(3) = 530,000
มีการแบ่งกำไรออกมาให้หุ้นส่วนเป็นจำนวน 523,500
ยอดเงินคงเหลือยกไปในปีถัดไป 6,500
จะเห็นได้ว่า ยอดเงินคงเหลือในปีถัดไปเท่ากับ 6,500 ซึ่งเท่ากับ ยอดภาษีที่ต้องจ่ายในเดือนมีค. ปี 2558 (ต้องจ่ายภาษี 11,500 แต่มีภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้วเท่ากับ 5,000 ดังนั้นต้องจ่ายภาษีเหลือเท่ากับ 6,500 ในปีถัดไป) ยอด 6,500 จึงเป็นรายจ่ายค้างจ่ายในปีถัดไป แล้วคราวนี้ถ้าสมมติในปีต่อไป ห้างหุ้นส่วนสามัญนี้ไม่ได้มีรายรับรายจ่ายเกิดขึ้นเลย จะลงบัญชีตามนี้
กรณีที่ 3 สรุปบัญชีรายรับ-จ่ายตามจริงของห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล เอบีการแพทย์ ปี 2558
ยอดเงินคงเหลือยกมาจากปีก่อน 6,500 (1)
ยอดรวมรายรับระหว่างปีภาษี กิจการรักษาผู้ป่วยในคลีนิค 0 (2)
ยอดรวมรายจ่ายระหว่างปีภาษี รวมค่าใช้จ่ายที่แท้จริง 6,500 (3)
เงินคงเหลือเป็นกำไรในห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลเท่ากับ (1)+(2)-(3) = 0
มีการแบ่งกำไรออกมาให้หุ้นส่วนเป็นจำนวน 0
ยอดเงินคงเหลือยกไปในปีถัดไป 0
จะเห็นได้ว่ายอดเงินคงเหลือ 6,500 ที่ยกมาจากปีก่อน จะถูกหักรายจ่าย 6,500 ที่เป็นภาษีที่ต้องชำระ ทำให้ยอดเงินคงเหลือเท่ากับ 0 ถ้าทางห้างหุ้นส่วนสามัญจะยื่นปิดห้างหุ้นส่วนหลังจากยื่นภาษีนี้เสร็จก็สามารถทำได้เลย
เพราะไม่มียอดอะไรค้างแล้ว
ในตอนหน้าจะมาดูแนวทางของคณะบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลว่า ในปี 2558
นี้ว่าควรจะทำอย่างไร
รวมถึงคำถามที่เกี่ยวข้องกับคณะบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล
ที่พบเจอบ่อย พบกันตอนหน้านะคะ