1. การรีไฟแนนซ์ (Refinance)
การรีไฟแนนซ์เหมาะกับหนี้ที่เกือบจะเสีย คือยังสามารถจ่ายได้อยู่ จ่ายได้ไหว แต่ไม่คล่องตัว ไม่ทันเวลา เงินที่จะจ่ายแต่ละเดือนมันตึงๆ จ่ายได้ได้กว่ายอดหนี้ที่กำหนดไว้ ก็ต้องใช้วิธีรีไฟแนนซ์
รีไฟแนนซ์ยังเหมาะกับคนที่คิดว่าตัวเองจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง แล้วต้องการที่จะปรับอัตราดอกเบี้ย ให้ลดลง หรืออยากปรับเปลี่ยนแผนการชำระหนี้ให้ชำระได้หมดภาระเร็วขึ้น หรือเปลี่ยนสถาบันการเงินที่ให้กู้ แม้ว่าจะไม่มีปัญหาด้านการเงินที่นำไปผ่อนชำระ การรีไฟแนนซ์ก็ยังสามารถกระทำได้เพื่อการลดค่าใช้จ่ายด้านอัตราดอกเบี้ยและขยายเวลาการผ่อนชำระ
การจะพิจารณาในการรีไฟแนนซ์ว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ต้องมีการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงว่าจะช่วยให้เราประหยัดได้มากกว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรีไฟแนนซ์หรือไม่ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการรีไฟแนนซ์จะประกอบด้วย
- ค่าใช้จ่ายในการประเมินมูลค่าหลักประกัน บริษัทสินเชื่อแห่งใหม่ต้องมีการประเมินหลักประกันใหม่ ในบางครั้งอาจมีค่าใช้จ่าย เช่น การจ้างบริษัทมาคำนวณหลักประกัน
- ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาเงินกู้กับผู้ให้สินเชื่อแห่งใหม่
- ค่าจดจำนองหลักประกัน
- ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการประกัน
- ค่าปรับให้แก่เจ้าหนี้เก่าในกรณีที่ยุติการกู้ก่อนระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา
การปรับโครงสร้างหนี้นั้นสามารถกระทำได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอให้กลายเป็นหนี้เสียก่อน สามารถเดินเข้าไปเจรจาปรับโครงสร้างหนี้หรือเจรจาประนอมหนี้กับสถาบันการเงินได้ การเดินเข้าไปคุยกับสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อแสดงถึงความตั้งใจในการชำระหนี้ คุยกับทางสถาบันการเงินว่าทางสถานบันการเงินจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง ดีกว่าที่จะให้เกิดการค้างชำระ เพราะถ้าเกิดการค้างชำระแล้วประวัติเครดิตก็จะเสีย ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติได้ การประนอมหนี้ก็จะยากขึ้นอีก
รูปแบบการเจรจาประนอมหนี้มีหลายรูปแบบ ได้แก่
- ขอลดยอดหนี้ลงบางส่วน
- ขอขยายเวลาการชำระหนี้
- ขอลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละงวด
- ขอให้คิดดอกเบี้ยในอัตราปกติที่ไม่ผิดนัด
- ขอหยุดดอกเบี้ยและไม่คิดดอกเบี้ยระหว่างที่ผ่อนชำระ
- ขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับกรณีผิดชำระ
- ขอโอนหลักประกันเพื่อชำระหนี้
- มีภาระหนี้ไม่มากหรือทำธุรกิจส่วนตัว ที่จำเป็นต้องรักษาประวัติเครดิตที่ดีเอาไว้สำหรับการขอสินเชื่อสำหรับธุรกิจ
- เป็นหนี้ที่ไม่ได้ถูกคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่โหดเกินไป
- เมื่อปรับโครงสร้างหนี้แล้ว เงินที่จะจ่ายคืนหนี้ไม่ควรเกิน 30% ของรายได้
- มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายได้ตลอด ไม่หยุดจ่ายกลางคัน
3. แฮร์คัต (Hair Cut)
เมื่อเราไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จริงๆ ทางสถาบันการเงินจะฟ้องร้องเพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้ แม้ว่าจะถูกสถาบันการเงินฟ้องร้อง ก็อย่าเพิ่งท้อถอย อย่าเพิ่งถอยหรือหนี ให้เดินตามกระบวนการต่อไป
ทางสถาบันการเงินอาจเข้ามาเจรจาเพื่อลดหนี้ที่ค้างชำระโดยแลกกับการจ่ายหนี้ส่วนที่เหลือ วิธีนี้จะเรียกว่าแฮร์คัต โดยทางสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้จะเป็นยื่นข้อเสนอเข้ามา วิธีแฮร์คัตนี้จะเกิดขึ้นในกรณีที่ค้างชำระหนี้มานาน ทางสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อยากจะเจรจาเพื่อปิดยอดหนี้ จึงเสนอข้อเสนอนี้ขึ้นมา ถ้าเห็นว่าสามารถรับข้อเสนอนี้ได้ ก็ดำเนินการเจราปิดหนี้ได้เลย